[How To] แอร์ประหยัดไฟที่สุด การเลือกซื้อแอร์บ้าน ที่เหมาะสม อย่าดูแค่ราคาถูก!
จริงอยู่ว่ายุคนี้ถ้าประหยัดค่าใช้จ่ายอะไรได้เราควรประหยัด
แต่ในการเลือกซื้อแอร์เพื่อติดบ้านนั้น เราไม่ควรพิจารณาแค่ราคาถูกเพียงอย่างเดียว
เพราะอย่าลืมว่าแอร์ที่เลือกซื้อมาต้องติดอยู่ภายในบ้านเราทั้งวันทุกวันเป็นเวลาหลายปี
จึงไม่ควรด่วนสรุปว่าแอร์ราคาถูกจะช่วยให้เราประหยัดเงินได้ในระยะยาว
ก่อนเลือกซื้อแอร์บ้านสักเครื่อง จึงควรพิจารณา
2 ส่วนหลักๆ ต่อไปนี้
1. ดูที่ BTU สภาพห้อง
และการใช้งาน
ในการเลือกซื้อแอร์บ้านที่ติดแล้วเย็น
เราควรดูค่า BTU (British Thermal Unit) เป็นอันดับแรก
เพราะนี่คือค่าของขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ คำนวณจากส่วนต่างๆ
ของแอร์รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาแอร์ หรือตัวเครื่อง
จัดเป็นค่าสากลที่ใช้กันทั่วโลก สามารถเชื่อถือได้
ซึ่งการจะติดแอร์ให้เย็นสบายและไม่เดือดร้อนเรื่องค่าไฟมากนัก จำเป็นที่เราต้องติด
BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง เพราะถ้าติดแอร์ที่มี BTU มากเกินไป นอกจากราคาจะสูงเกินกว่าขนาดห้องที่ใช้แล้ว
ยังดูเป็นการใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น อีกทั้งยังสิ้นเปลืองค่าไฟโดยไม่จำเป็น
แต่ถ้าติดแอร์ที่ BTU น้อยเกินไป ไม่สมส่วนกับขนาดห้อง
สิ่งแรกที่จะกระทบเลยคือห้องจะไม่เย็นนั่นเอง อีกทั้งจะทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานตลอดเวลา
มีผลทำให้อายุการใช้งานของแอร์จะสั้นลง และเปลืองค่าไฟเช่นกัน
2. ดูที่ค่า EER/SEER
นี่คือค่าที่เป็นเป็นมาตรฐานสากล
แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของแอร์แต่ละเครื่อง แอร์ตัวไหนที่มีค่า EER/SEER
สูงๆ แปลว่าแอร์เครื่องนั้นยิ่งประหยัดไฟ โดยค่า EER และ SEER มีความแตกต่างกัน ดังนี้
• EER (Energy Efficiency Ratio)
เป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของแอร์
ซึ่งแอร์บ้านที่ไม่ใช่ระบบอินเวอร์เตอร์ (Non Inverter) จะแสดงค่าเป็น
EER
• SEER (Seasonal Energy
Efficiency Ratio) เป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานตามฤดูกาลของแอร์
ทำให้ค่า SEER จึงมีความใกล้เคียงกับสภาพการใช้พลังงานจริงๆ
มากกว่า EER ซึ่งแอร์บ้านที่เป็นระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter)
จะแสดงค่าเป็น SEER
การที่แอร์บ้านยี่ห้อใดๆ ได้เบอร์ 5
ไม่ได้แปลว่าจะประหยัดไฟเท่ากัน ค่า EER/SEER ต่างหากที่สามารถชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างชัดเจน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น