ทำไมประเทศไทยต้องมีกองทุนน้ำมัน
“น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ภายในประเทศ
นั้น มีหน้าที่ที่จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามอัตราที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานกำหนด
ซึ่งปัจจุบันน้ำมันที่ต้องส่งเงินเข้า / ชดเชยจากกองทุนฯ คือ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล์
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา โดยอัตราส่งเงินเข้า/ชดเชยจากกองทุนฯ
สามารถเปลี่ยนแปลงได้
และเงินจำนวนนี้คือรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถที่จะกำหนดราคาเองได้
เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตลาดโลกสูงและมีความผันผวน
เราจะได้รับผลกระทบในส่วนนี้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ระดับหนึ่ง
ดังจะเห็นได้จากในช่วงราคาน้ำมันในตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงและมีความผันผวนมาก
รัฐก็ได้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเครื่องมือ คือ
รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ที่ระดับหนึ่ง
โดยการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชย
และเมื่อราคาน้ำมันลดลงจึงเก็บส่วนที่่ชดเชยไปคืนกลับมา
ซึ่งสามารถลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ
และช่วยให้ประชาชนไม่ต้องจ่ายราคาน้ำมันในราคาที่สูงเกินไป”
พูดถึงกันบ่อยกับสถานการณ์กองทุนน้ำมัน
ซึ่งปัจจุบัน สภาพของกองทุนน้ำมันอยู่ที่บวกสี่หมื่นกว่าล้านบาท
บ้างก็เห็นว่ากองทุนน้ำมันไม่ควรมี ควรปล่อยให้เป็นไปตามตลาด 100% บ้างก็ว่าในเมื่อสถานการณ์
เป็นบวกมากขนาดนี้ ทำไมไม่ลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
และบางความเห็นก็ว่าควรจะเก็บเข้ากองทุนน้ำมันต่อไป
กองทุนน้ำมันคือกองทุนสำหรับอุดหนุนราคาน้ำมันยามที่ราคาน้ำมันผันผวนไม่ให้กระทบต่อรายจ่ายในชีวิตประจำวันมากเกินไปหรือสนับสนุนพลังงานทดแทนบางชนิด
เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้กันมากขึ้น เช่น สถานการณ์ปัจจุบัน
กองทุนน้ำมันอุดหนุนราคา E85 ลิตรละ 9.30 บาท อุดหนุนราคา E20 ลิตรละ 2.75 บาท เป็นต้น
ถ้าจะพูดกันแบบเข้าใจง่าย กองทุนน้ำมันก็เหมือนทำประกันชีวิต ตราบเท่าที่เรายังไม่เจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ เราย่อมยังไม่เห็นถึงความสำคัญ ยิ่งเป็นเงินที่เราๆ ต้องจ่ายออกไปแล้วไม่ได้มีผลกระทบกับตัวเราโดยตรงแล้ว เราก็ยิ่งเห็นถึงความสำคัญน้อยลง เพราะฉะนั้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่เข้าใจง่าย
หากไม่มีกองทุนน้ำมัน หมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่ราคาน้ำมันผันผวน ประชาชนก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงกับรายจ่าย ยิ่งเป็นธุรกิจ SME ที่เกี่ยวข้องกับราคาพลังงาน นั่นทำให้ต้นทุนราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กล้มก่อนที่จะเกิดโดมิโนไปสู่เศรษฐกิจโดยรวม
ถ้าจะพูดกันแบบเข้าใจง่าย กองทุนน้ำมันก็เหมือนทำประกันชีวิต ตราบเท่าที่เรายังไม่เจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ เราย่อมยังไม่เห็นถึงความสำคัญ ยิ่งเป็นเงินที่เราๆ ต้องจ่ายออกไปแล้วไม่ได้มีผลกระทบกับตัวเราโดยตรงแล้ว เราก็ยิ่งเห็นถึงความสำคัญน้อยลง เพราะฉะนั้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่เข้าใจง่าย
หากไม่มีกองทุนน้ำมัน หมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่ราคาน้ำมันผันผวน ประชาชนก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงกับรายจ่าย ยิ่งเป็นธุรกิจ SME ที่เกี่ยวข้องกับราคาพลังงาน นั่นทำให้ต้นทุนราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กล้มก่อนที่จะเกิดโดมิโนไปสู่เศรษฐกิจโดยรวม
หากคิดว่าควรเลิกเก็บ
หรือเก็บน้อยลงเพราะปัจจุบันกองทุนฯ บวกกว่าสี่หมื่นล้าน เราลองคำนวณกันว่า
ไทยใช้น้ำมันประมาณ 76 ล้านลิตรต่อวัน
สมมติสถานการณ์ราคาน้ำมันผันผวน จนกองทุนน้ำมันต้องช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันทุกชนิด
ลิตรละ 2 บาท นั้นหมายความว่า เราต้องใช้กองทุนน้ำมันชดเชย
เดือนละ 4,560 ล้านบาท และกองทุนนี้จะหมดไปในระยะเวลาไม่ถึง 10
เดือน ซึ่งบางคนอาจคิดว่านาน แต่ถ้าต้องอุดหนุนในราคาที่สูงกวานี้ละ
เช่น ลิตรละ 5 บาท กองทุนน้ำมันก็จะอุดหนุนราคาได้ไม่ถึง 5
เดือน
ฉะนั้นหากจะถามว่า กองทุนน้ำมันมีความสำคัญไหม ถ้ามองในฐานะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก็คงต้องตอบว่ามาก ดูจากประเทศที่เจริญแล้ว คนก็มักจะให้ความสำคัญกับการทำประกันอยู่เสมอ เพราะสถานการณ์ในอนาคตเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ
ฉะนั้นหากจะถามว่า กองทุนน้ำมันมีความสำคัญไหม ถ้ามองในฐานะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก็คงต้องตอบว่ามาก ดูจากประเทศที่เจริญแล้ว คนก็มักจะให้ความสำคัญกับการทำประกันอยู่เสมอ เพราะสถานการณ์ในอนาคตเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น